ไหมที่ทางคลินิกใช้เป็นไหมที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากทางอย. ให้ใช้เพื่อการยกกระชับ สามารถช่วยได้หลายเรื่อง ได้แก่
เส้นไหมที่ผ่านอย.ประเทศไทยอย่างถูกต้อง และนำมาใช้ในรูปแบบการยกกระชับในปัจจุบัน สามารถแบ่งได้ตามวัสดุและลักษณะของไหมได้ 3 ชนิด ได้แก่
1. PDO (Polydioxanone) เป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้เย็บแผลผ่าตัดหัวใจ เป็นเส้นไหมที่ถูกนำมาใช้ในวงการเสริมความงามชนิดแรก และได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเข้ากันกับเนื้อเยื่อผิวหนังได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง อ่อนนิ่ม ไม่เปราะหักง่าย ขณะที่ร้อยจะไม่ค่อยรู้สึกระคายเคือง
2. PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นเส้นไหมชนิดที่มีความแข็ง ทนต่อแรงดึง จึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด แต่จะขาดความยืดหยุ่น ทำให้เปราะหัก ขาดง่าย จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม
3. PCL (Polycaprolactone) เส้นไหมชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด แต่มีความยืดหยุ่นสูง แข็งทน ไม่เปราะหักง่าย อยู่ได้นาน
1. ไหมเรียบ (Mono Thread)
คือเส้นไหมที่มีลักษณะพื้นผิวเรียบ ไม่มีเงี่ยง มีทั้งแบบเรียบตรง และแบบเกลียว มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน แต่เนื่องจากไม่มีเงี่ยง จึงไม่ค่อยช่วยในเรื่องการยกกระชับหน้าที่หย่อนคล้อยมากนัก เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวดูเต่งตึงมากกว่าการยกกระชับ
2. ไหมเงี่ยง (Brab/ Cog Thread)
ไหมชนิดนี้มีชื่อเรียกออกไปได้อีกหลายแบบเช่น ไหมหนาม ไหมก้างปลา ไหมเงี่ยงกุหลาบ และอื่นๆแล้วแต่การตลาด ลักษณะของเส้นไหมรูปแบบนี้ จะมีเงี่ยงยื่นออกมาจากตัวไหม อาจมีทั้งทิศทางเดียว และ 2 ทิศทาง โดยเงี่ยงเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยเกี่ยวเนื้อเยื่อผิวให้ยกกระชับขึ้นนั่นเอง ไหมชนิดนี้มีแรงดึงผิวได้ดี เหมาะสำหรับการยกกระชับ หรือใบหน้าที่มีความหย่อนคล้อย
3. ไหมโครงตาข่าย (Mesh Scaffold Thread Lift)
เป็นไหมชนิดใหม่ล่าสุด มีลักษณะคล้ายไหมเงี่ยงแต่มีตาข่ายล้อมรอบตัวไหม ซึ่งตัวตาข่ายจะช่วยให้เนื้อเยื่อมาเกาะได้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยยกกระชับได้ยาวนานและเห็นผลชัดเจนทันทีหลังทำ
4. ไหมกรวย ลักษณะจะเป็นเม็ดเล็กๆหน้าตาคล้ายกรวย จึงถูกเรียกว่าไหมกรวย ช่วยเรื่องยกกระชับ เพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจน
หลังร้อยไหมอาจมีอาการบวม 1-3 วันแรกบางคนอาจมีอาการบวมน้อยมาก สามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันทีหลังการรักษา บางรายอาจมีรอยบุ๋มหลังร้อยไหมอาจเกิดขึ้นได้ในบางเคสช่วงแรก โดยจะหายไปใน 2-3 สัปดาห์ การดูแลตัวเองและข้อควรระวังหลังการร้อยไหมได้แก่